โรคภูมิแพ้ตัวเอง SLE หรือ Systemic Lupus Erythematosus อาจเป็นเรื่องที่หลายคนไม่รู้จัก แต่เป็นโรคที่ใกล้ตัวและอาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ด้วยอาการที่ซับซ้อน และสร้างผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย การรู้เท่าทันความเสี่ยง และการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันจากโรคนี้จึงสำคัญมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวป่วยเป็น SLE หรืออยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง การตรวจยีนเพื่อประเมินความเสี่ยงโรค SLE อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยให้คุณรู้จักตัวเองมากขึ้น และเตรียมพร้อมป้องกันโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รู้เท่าทัน โรคภูมิแพ้ตัวเอง SLE ความเสี่ยงจากกรรมพันธุ์สูง

โรคภูมิแพ้ตัวเอง SLE คืออะไร?

SLE หรือ Systemic Lupus Erythematosus เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองประเภทหนึ่งที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันไม่สามารถแยกแยะระหว่างเซลล์ร่างกายกับสิ่งแปลกปลอมได้ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโจมตีเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายตัวเอง 

จนเกิดการอักเสบและสร้างความเสียหายหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็น ผิวหนัง ข้อต่อ หัวใจ ปอด และไต โรคนี้ยังมีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า โรคพุ่มพวง เนื่องจากผื่นผิวหนังที่ขึ้นเป็นรูปผีเสื้อบนใบหน้า ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรค SLE

อาการ SLE ที่ควรสังเกต

ผู้ป่วย SLE มักมีอาการหลากหลายตามระบบอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่

• ผื่นผิวหนัง: มีผื่นรูปผีเสื้อขึ้นที่ใบหน้า และผื่นที่ถูกกระตุ้นจากแสงแดด
• ปวดข้อ: มักเกิดบริเวณมือ ข้อมือ ข้อศอก และหัวเข่า
• อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย: มีอาการอ่อนล้าตลอดเวลาโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
• ปัญหาในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย: อาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ปวดท้อง และปัสสาวะขุ่นเนื่องจากปัญหาที่ไต
• ความผิดปกติของเลือด: อาจมีภาวะเลือดจาง เกล็ดเลือดต่ำ หรือมีเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง

อาการเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และมีความรุนแรงที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นหากพบอาการเหล่านี้เป็นระยะเวลานาน ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย

โรคภูมิแพ้ตัวเอง SLE เกิดจากอะไร?

สาเหตุของการเกิดโรค SLE ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เชื่อว่ามีผลต่อการเกิดโรคนี้ ได้แก่

1. พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรค SLE จะมีความเสี่ยงมากขึ้นในการพัฒนาโรคนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีพันธุกรรมจะเป็น SLE เสมอไป
2. สิ่งแวดล้อม: การถูกแสงแดดจัด การติดเชื้อ หรือการสัมผัสสารเคมีบางชนิด อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิด SLE ได้
3. ฮอร์โมน: พบว่า SLE มักเกิดในผู้หญิง โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ ทำให้เชื่อว่าฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนกระตุ้นการเกิดโรคได้
4. ยาบางชนิด: การใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานานอาจทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ และกระตุ้นให้เกิดอาการ SLE

การทำความเข้าใจสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ที่มีความเสี่ยง สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น ที่อาจทำให้อาการกำเริบหรือรุนแรงขึ้น

โรคภูมิแพ้ตัวเอง SLE เป็นกรรมพันธุ์หรือไม่?

โรค SLE มีความเชื่อมโยงกับพันธุกรรม แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีประวัติครอบครัวจะต้องเป็นโรคนี้เสมอไป เนื่องจากปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพแวดล้อม การทำงานของฮอร์โมน และการสัมผัสสารเคมี ก็มีผลต่อการเกิดโรคนี้ อย่างไรก็ตาม หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็น SLE ควรทำการตรวจสอบความเสี่ยงทางพันธุกรรม เพื่อการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันไว้ล่วงหน้า

ตรวจยีนความเสี่ยง SLE โรคภูมิแพ้ตัวเอง

การตรวจยีนความเสี่ยง SLE เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงทางพันธุกรรมที่อาจส่งผลต่อการเกิดโรคนี้ การตรวจจะประเมินยีนที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนาโรค และจัดการกับปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้อาการของโรคกำเริบ

ประโยชน์ของการตรวจยีนความเสี่ยง SLE

• ช่วยให้ทราบถึงความเสี่ยงส่วนบุคคลในการเกิดโรค SLE
• ช่วยในการวางแผนดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
• ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค และป้องกันการกำเริบของอาการ

Geneus DNA ให้บริการตรวจยีนเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อโรค SLE หรือโรคภูมิแพ้ตัวเอง ที่สามารถช่วยให้คุณทราบถึงโอกาสในการเกิดโรคนี้จากปัจจัยทางพันธุกรรม ด้วยการใช้นวัตกรรม Whole Genome-wide Array ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการวิเคราะห์ยีนกว่า 20,000 ยีนในร่างกาย โดยครอบคลุมปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพมากกว่า 500 รายการ การตรวจยีนแบบละเอียดนี้สามารถเจาะลึกถึงระดับ DNA ทำให้ทราบถึงปัจจัยเฉพาะบุคคลที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาโรค SLE และภูมิแพ้อื่น ๆ ที่ระบบภูมิคุ้มกันอาจทำงานผิดปกติ

บริการตรวจยีนจาก Geneus DNA ไม่เพียงแต่ช่วยในการประเมินความเสี่ยง แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้สามารถวางแผนการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันได้อย่างตรงจุด ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรค SLE สามารถใช้บริการนี้ เพื่อลดความเสี่ยง และป้องกันการเกิดอาการรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยนวัตกรรมนี้ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และการดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีในระยะยาว