โรคอ้วนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างกว้างขวาง และความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน สามารถถูกกำหนดได้จากหลายปัจจัย รวมถึงพันธุกรรม
หนึ่งในยีนที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโรคอ้วน อย่างมากคือ "ยีน FTO" หรือที่หลายคนเรียกกันว่า "ยีนอ้วน" บทความนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับยีน FTO และบทบาทที่มันมีต่อความอ้วน รวมถึงการตรวจยีนเพื่อหาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ยีน FTO (Fat mass and Obesity-associated gene) คือยีนที่ถูกค้นพบว่า มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของมวลไขมันในร่างกาย และน้ำหนักตัว การวิจัยพบว่าคนที่มียีน FTO ในรูปแบบที่มีความเสี่ยงสูง มีโอกาสที่จะเกิดโรคอ้วนได้มากกว่าคนทั่วไป
ทั้งนี้ ยีน FTO จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความหิว และการบริโภคพลังงาน ส่งผลให้คนที่มียีน FTO ในรูปแบบที่มีความเสี่ยงสูงมีความอยากอาหารมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การรับประทานอาหารเกินความจำเป็นได้
แม้ยีน FTO จะมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน แต่การที่คนหนึ่งจะอ้วนหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น
"อ้วนกรรมพันธุ์" หมายถึงการที่บุคคลหนึ่งมีความเสี่ยงที่จะอ้วนจากพันธุกรรมของตนเอง ยีน FTO ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับความอ้วนกรรมพันธุ์ อย่างไรก็ตาม การมีความเสี่ยงจากยีนนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะอ้วนทันที เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อย่างพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีผลอย่างมาก
จากงานวิจัยพบว่า คนที่มีการกลายพันธุ์ในยีน FTO มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 20-30% ในการเกิดโรคอ้วนเมื่อเทียบกับคนที่ไม่มียีนนี้ แต่ถ้าผู้ที่มียีน FTO สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย ก็สามารถลดความเสี่ยงได้
การตรวจยีนเพื่อหาแนวโน้มความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน สามารถช่วยให้เราทราบถึงระดับความเสี่ยงส่วนบุคคล และการตรวจยีนอย่างยีน FTO ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่แพทย์ใช้วางแผนการรักษา และป้องกันความเสี่ยงโรคอ้วนได้ล่วงหน้า หากทราบว่าตนเองมีความเสี่ยงสูง โดยผู้ที่ได้รับผลตรวจจะสามารถวางแผนการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพ ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงทางพันธุกรรมของตนเอง
ในปัจจุบันมีบริการตรวจยีนที่ทันสมัย เช่น การตรวจยีนโดยใช้เทคโนโลยี Whole Genome-wide Array จากบริการของ Geneus DNA ที่สามารถวิเคราะห์ยีนมากกว่า 20,000 ยีน รวมถึงยีน FTO เพื่อประเมินความเสี่ยงโรคอ้วนได้อย่างแม่นยำ ทำให้ผู้รับการตรวจสามารถเข้าใจแนวโน้ม และวางแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ