Rated 4.98-stars across 2K+ reviews
Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews

รู้จัก "โรคไอกรน" ระบาดหนักในเด็กและผู้สูงวัย

GeneusDNA profile image By
GeneusDNA
|
Nov 18, 2024
|
139
สุขภาพ
โรค
โรคไอกรน, Pertussis, Whooping Cough, วัคซีน DTaP, อาการไอกรน, การป้องกันไอกรน
Summary
โรคไอกรน, Pertussis, Whooping Cough, วัคซีน DTaP, อาการไอกรน, การป้องกันไอกรน

โรคไอกรน หรือที่รู้จักในชื่อ Pertussis หรือ Whooping Cough เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก โรคนี้มีลักษณะเด่นคืออาการไอรุนแรงต่อเนื่องที่อาจส่งผลให้เกิดเสียงหายใจ “ฮู้ป” (Whoop) โรคนี้สามารถรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ในบางกรณีหากไม่ได้รับการรักษา

โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไอกรนจึงสำคัญสำหรับทุกคน

หาแนวทางป้องกัน "โรคไอกรน" ปัญหาสุขภาพ ระบาดหนักในเด็กเล็ก

โรคไอกรนเกิดจากอะไร?

โรคไอกรนเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Bordetella pertussis ซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสละอองฝอยจากการไอหรือจามของผู้ติดเชื้อ เชื้อแบคทีเรียนี้จะปล่อยสารพิษที่ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจระคายเคือง จนเกิดอาการไอรุนแรงที่เป็นเอกลักษณ์ของโรค

 
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง

  • เด็กทารกและเด็กเล็ก: ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์
  • ผู้สูงอายุ: ที่มีภูมิคุ้มกันลดลง
  • ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้น: หรือไม่ได้รับการป้องกันหลังจากวัยเด็ก
     

โรคไอกรนเกิดจากอะไร?

อาการของโรคไอกรน

อาการของโรคไอกรนมักพัฒนาเป็นระยะ และมีความแตกต่างในแต่ละช่วง ดังนี้:

ระยะที่ 1: ระยะเริ่มต้น (Catarrhal Stage)

  • มีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอเบา ๆ
  • อาจมีไข้ต่ำและอ่อนเพลีย
  • ช่วงนี้เชื้อมีการแพร่กระจายสูงสุด

ระยะที่ 2: ระยะไอรุนแรง (Paroxysmal Stage)

  • ไอต่อเนื่องจนหยุดไม่ได้ และมักเกิดเสียง “ฮู้ป” (Whoop) ขณะหายใจเข้า
  • อาจมีอาการไอจนหน้าแดง สำลัก หรืออาเจียน
  • อาการมักรุนแรงในเวลากลางคืน

ระยะที่ 3: ระยะฟื้นตัว (Convalescent Stage)

  • อาการไอเริ่มลดลง แต่ยังอาจไอเป็นพัก ๆ ได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์

หมายเหตุ: สำหรับทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน อาจไม่มีเสียง “ฮู้ป” แต่ไอรุนแรงจนหยุดหายใจได้

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคไอกรน อาการ 

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคไอกรน

โรคไอกรนหากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เช่น

  • ปอดบวม: เกิดจากการติดเชื้อที่ลุกลาม
  • สมองบวม: อาจทำให้เกิดการชักหรือสมองพิการ
  • การหยุดหายใจ: โดยเฉพาะในทารก
  • ภาวะเลือดออกในตา: จากการไอรุนแรง
     

การรักษาโรคไอกรน

หากสงสัยว่าเป็นโรคไอกรน ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย โดยแพทย์จะสั่งจ่ายยาและแนะนำการดูแลดังนี้:

  • ยาปฏิชีวนะ: เช่น Azithromycin หรือ Clarithromycin เพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อ
  • การพักผ่อนและการดูแลที่บ้าน:ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยลดอาการไอ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่นเพื่อลดการแพร่เชื้อ 

การรักษาโรคไอกรน ป้องกัน

วิธีป้องกันโรคไอกรน

การป้องกันโรคไอกรนสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการฉีดวัคซีน:

  • วัคซีน DTaP: สำหรับเด็กเล็ก (ช่วงอายุ 2, 4, 6, และ 18 เดือน รวมถึงก่อนเข้าโรงเรียน)
  • วัคซีน Tdap: สำหรับวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และหญิงตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 3

นอกจากนี้ควรปฏิบัติตามสุขอนามัย เช่น ล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไอ

 
โรคไอกรนในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ

แม้ว่าโรคไอกรนจะพบมากในเด็กเล็ก แต่ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุก็มีความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้น ซึ่งอาจมีอาการ เช่น ไอเรื้อรังนานกว่า 2 สัปดาห์ อาการคล้ายเป็นหวัดแต่ไม่หายขาด
 
ความสำคัญของวัคซีนป้องกันโรคไอกรน
วัคซีนเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลที่สุดในการป้องกันโรคไอกรน การรับวัคซีนครบตามกำหนดจะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและการแพร่กระจายสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะในชุมชนที่มีเด็กทารกหรือผู้สูงอายุ

สรุปได้ว่าโรคไอกรนเป็นโรคทางเดินหายใจที่สามารถรุนแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ การป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน และการดูแลสุขอนามัยเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณหรือบุตรหลานมีอาการต้องสงสัย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

 

อย่าปล่อยให้คนที่รักป่วยโดยไม่รู้ตัว รู้ทันสุขภาพจากดีเอ็นเอจาก Geneus DNA ได้ที่นี่

chat line chat facebook